drive my car
drive my car ‘รถยนต์’ คือพาหนะที่พาพวกเราเดินทางไปจนกระทั่งเป้าหมาย แต่ว่าสำหรับเรื่อง ‘Drive My Car’ รถ SAAB 900 สีแดงคันนี้กลับพาชายคนหนึ่งออกเดินทางไปตรวจสอบอดีต ปัจจุบัน และแนวทางการใช้ชีวิตที่เหลือในอนาคตอย่างเข้าใจความเจ็บเยอะขึ้นเรื่อยๆ
เขียนบทและควบคุมโดย ‘ริวสุเกะ ฮามากุจิ’ (Ryusuke Hamaguchi) โดยอิงมาจากผลงานเรื่องสั้นในหนังสือ ‘ชายที่แฟนจากไป’ (Men Without Women) จากปลายปากกาของ ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami) ผู้เขียนแถวหน้าของประเทศญี่ปุ่น
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำ (Palme d’Or) แล้วก็คว้า 3 รางวัลในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 2021 หนึ่งในนั้นเป็นรางวัลการเขียนบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งนับว่าดีสมชื่อ ด้วยเหตุว่าทุกประโยคของตัวละครสามารถตรึงใจผู้ชมได้ตลอด 3 ชั่วโมง ส่วนรถยนต์ SAAB 900 สีแดงคันเก๋าในเรื่องนั้น เช่นเดียวกันกับพาไปตรวจความนึกคิดและก็ชีวิตของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง
จะต้องเปิดประเดิมกันด้วยบรรณานุกรมเลยทีเดียวสำหรับการรีวิวภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง ของผู้กำกับ เรียวสุเกะ ฮามากูชิ ครั้งนี้ เพราะว่านอกเหนือจากจะเป็นการติดป้ายเตือน spoiler alert กันกลายๆว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการเจาะเรื่องราวสำคัญของงานวรรณกรรมทุกชิ้นที่ได้กล่าวไป มันยังเป็นการฉายหนังแบบอย่างให้ดูด้วยว่า การปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงงานเรื่องสั้นของ ฮารูกิ มูราคามิ ที่ลุกลามเลยไปถึงบทละครเวทีประเด็นสำคัญของวงการอย่าง Uncle Vanya (1897) ของ Anton Chekov และก็ Waiting for Godot (1952) ของ Samuel Beckett จนกระทั่งกลายเป็นหนังเรื่อง Drive My Car (2021)
โดยผู้กำกับ เรียวสุเกะ ฮามากูชิ นั้น มันแทบไม่มีเค้าของการดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขที่สัตย์ซื่อขวานผ่าซาก เป็นรายละเอียดที่ว่าถึงการนอกใจกันระหว่างคู่สามีภรรยาจะดูละเมิดหักหลังภาระคำสัญญาดวงใจที่มีให้ต่อกันยังไง ผู้กำกับ เรียวสุเกะ ฮามาข้าชิ ก็นอกใจไปจากเรื่องราวต้นฉบับของ ฮารูกิ มูราคามิ แบบงั้น จำพวกที่นักวิพากษ์วิจารณ์หรือผู้ชมสายนิยมงานดัดแปลงแก้ไขแบบ ‘จงรัก’ หรือ faithful adaptation ทุกวรรคถ้อยเป๊ะตรงแบบบรรทัดต่อบรรทัดได้ดูแล้วน่าจะอกแตกตาย เนื่องจากว่าแม้กระทั่งขึ้นชื่อว่า Drive MyCar แบบเดียวกัน แม้กระนั้นลำดับทางการเล่า ยวดยานพาหนะ หรือแม้กระทั้งจุดหมายเอง กลับมิได้เช่นกันเลย!
สิ้นเดือนมีนาคม ปี 2011 ตอนหลังเรื่องแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศประเทศญี่ปุ่น
ที่มีผลให้เขตโทโฮกุ-ซึ่งเป็นเปรียบเสมือนศูนย์กลางของการสั่นกระเทือนนั้น-แหลกวินาศ ริวสุเกะ ฮามากุชิ ใช้เวลาอีกนับเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้น สำรวจขับขี่รถรอบเขตเพื่อบันทึกภาพรวมทั้งฟุตเตจความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นไปทำเป็นหนังสารคดี The Sound of the Waves (2011) และจากการต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถยนต์คันเล็กแคบกับผู้กำกับร่วม (โก ซากาอิ) วันละหลายชั่วโมง ก็ช่วยทำให้ฮามากุชิใส่ใจว่า รอบๆเล็กแคบบนรถยนต์คันนั้นได้สร้าง ‘พื้นที่’ บางสิ่งบางอย่างระหว่างเขากับผู้กำกับร่วมขึ้นมา
“ปกติพวกเราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันมากสักเท่าไรนักหรอกนะครับ” ฮามากุชิบอก “แต่เพียงพอต้องไปอยู่ในรถยนต์ร่วมกัน เรากลับคุยกันมากยิ่งกว่าที่เคยเสียอีก เนื่องจากว่าตอนพวกเราอยู่ในรถ สายตาคุณอาจกำลังเห็นสิ่งที่น่าพอใจ คุณได้เห็นวิวทิวทัศน์จากสองริมทาง แต่โสตประสาทกลับได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหว และผมว่าเราล้วนอยากหาเรื่องมาคุยเพื่อกลบอะไรที่ตรงนี้น่ะ”
สิบปีที่ผ่านมา ฮามากุชิจึงทำให้การใช้เวลาบนรถยนต์ของผู้แสดงแปลงเป็น ‘นาฬิกายามอันแสนศักดิ์สิทธิ์’ ใน Drive My Car หนังความยาวสามชั่วโมง ที่ส่งเขาเอารางวัล ‘บทยอดเยี่ยม’ จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด
โดยหนังปรับเปลี่ยนมาจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของ ฮารูกิ มูราคามิ โดยตัวต้นฉบับนั้นเล่าผ่านสายตาของมือที่สาม (โดยทั่วไปมูราคาไม่มักเล่าผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่งเป็น ‘ผม’) ด้ามจับจ้องมองไปยัง คะฟุกุ ผู้กำกับละครเวทีที่มีปัญหาเรื่องสายตา จนถึงทำให้ต้องหาคนขับรถมาปฏิบัติภารกิจนี้แทน เขาจึงได้พบกับ มิซะกิ หญิงสาวใบหน้าเรียบๆผู้มีแผลขนาดใหญ่ ไหล่กว้าง รวมทั้งสูบบุหรี่จัด ซึ่งตลอดเวลาที่หญิงสาวทำหน้าที่เป็นสารถีให้ขาฟุกุ เขาเกือบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังอยู่ในรถยนต์กับ ‘ผู้อื่น’
หรี่ตามองแบบผิวเผินเบลอๆ ฉบับเรื่องสั้นของ ฮารูกิ มูราคาไม่ และฉบับหนังของ เรียวสุเกะ ฮามาฉันชิ อาจจะมีเค้าเรื่องระดับกว้างที่เช่นเดียวกันๆโดยในฉบับหนัง ผู้กำกับและเขียนบท เรียวสุเกะ ฮามาฉันชิ ได้ร่วมกับผู้ดัดแปลงบท ทาคามาซะ โอเอะ ช่วยกันเปลี่ยนแปลงปรับขยับขยายเรื่องราว เพื่อทำให้เนื้อหาจากเรื่องสั้นที่คงจะนั่งอ่านจบได้ภายใน 30 นาที กลายเป็นภาพยนตร์ปริมาณยาวที่สามารถเข้าฉายในโรง จนท้ายที่สุดก็ยาวลุกลามเลยไปร่วมๆ3 ชั่วโมงสุดท้าย
สถานะการณ์อย่างคร่าวๆเป็นเรื่องราวของดาราหนังชายหนุ่มใหญ่ ขาฟุลุก ผู้เคยอาศัยอยู่กินกับภรรยานาม โอโตะ สถานที่ทำงานในแวดวงเดียวกัน ก่อนที่จะคุณจะเสียชีวิตลงทันทีทันใด เขาเป็นเจ้าของรถยนต์วินเทจยี่ห้อ SAAB คันสวยที่ยังใช้การเจริญ แต่ว่าเมื่อเขามีปัญหาปัญหาอะไรบางอย่างทำให้ไม่อาจจะขับรถไปดำเนินการด้านละครเวทีเองได้ ก็เลยต้องให้คนขับคนใหม่มาปฏิบัติหน้าที่แทน ถ้าหากสารถีคนใหม่ของเขาเปลี่ยนไปเป็น มิซะกิ สาวลุคทอมบอยหน้าเบื่อโลกมาดแมน ขาฟุระอุ ก็เลยไม่วายดูแคลนว่า ไม่ซะกิ ไม่น่าจะดูแลรถยนต์เก่าเจ้าของหวงคันนี้ได้ แม้กระนั้น ไม่ซะกิ ก็แสดงฝีมือการควบคุมรถยนต์อันสันทัดของเธอกระทั่ง ขาฟุคุ วางใจ รวมทั้งกลายมาเป็นคนขับรถประจำ
บอกเล่าเรื่องราวของ ‘ยูสุเกะ ฮาฟูกุ’ ผู้เป็นอีกทั้งนักแสดงและก็ผู้กำกับละครเวทีที่สูญเสียเมียไปเมื่อ 2ปีก่อน
ทิ้งไว้เพียงแผลจากการรับรู้ว่าภรรยาเคยมีความข้องเกี่ยวลึกซึ้งกับชายอื่นคนจำนวนไม่น้อย แต่ว่ายูสุเกะกลับแกล้งดุจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาตลอด เนื่องจากว่าเขากลัวว่าความชมรมระหว่างเขากับเมียจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้วันที่ภรรยาเหมือนว่าจะเอ่ยรับเรื่องนี้กับเขาอย่างเอาจริงเอาจัง ยูสุเกะกลับหลบ ถ่วงเวลาจนกระทั่งที่สุดแล้ว เขาก็สูญเสียภรรยาไปตลอดไป
การมัดเงื่อนด้วยปัญหาด้านการไม่คุยกันอย่างไม่อ้อมค้อมและไม่กล้าเสี่ยงหน้ากับความขัดแย้งตรงๆมักปรากฏอยู่ในหนังสือของมูราคาไม่อยู่บ่อยมากเช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องDrive My Car โดยปัญหาดังกล่าวที่นับเป็นการสะท้อนข้อด้อยของวัฒนธรรมการสื่อสารแบบอิงบริบทสูง (high-context culture) ตามแนวความคิด Edward T. Hall นักมานุษยวิทยาคนอเมริกัน ซึ่งเป็นการสื่อสารที่จำต้องแปลความมากยิ่งกว่า ‘คำกล่าว’ แต่ยังรวมทั้งบริบทอื่นๆอาทิเช่น น้ำเสียง สายตา อาการต่างๆหรือเรียกกล้วยๆว่ามักจะบอก ‘อ้อมๆ’ มากกว่าพูดขวานผ่าซากเพราะกลัวความไม่ถูกกันและกระทบต่อความข้องเกี่ยว ทำให้การปรับความเข้าใจอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ง่ายนัก
แม้วิธีการติดต่อสื่อสารดังที่กล่าวมาแล้วไม่ใช่เรื่องไม่ถูก อีกทั้งมีความสวยสดงดงามที่คิดถึงหัวใจของอีกข้างเสมอ แต่ว่าอีกด้านหนึ่งเมื่อความสัมพันธ์มาถึงจุดที่จำต้อง ‘ปรับความเข้าใจกัน’ การหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดเลยแบบยูสุเกะ หรือการบอกอ้อมๆผ่านเรื่องเล่าที่เมียแต่งขึ้นมา กลายเป็นการซุกปัญหาไว้ใต้พรม กระทั่งสายเกินจะแก้ไข
หลังภรรยาจากไป ยูสุเกะกอดเก็บความเศร้าใจรวมทั้งปริศนามากเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งสองปีต่อมา เมื่อจะต้องเดินทางไปกำกับละครเวทียังเมืองแห่งหนึ่ง เขาต้องมีคนขับอย่างเลี่ยงมิได้ รวมทั้งนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ความเสียใจรวมทั้งความเจ็บปวดต่างๆค่อยๆพรูออกมา พร้อมทั้งการมองมองเห็นตัวตนรวมทั้งความอยากที่จริงจริงของตัวเอง
กล่าวตามสัตย์หากแม้หนังดูเหมือนกับว่าเดินตามเส้นเรื่องใน Drive My Carแต่เราบางทีอาจบอกได้ว่าที่จริงแล้วนี่คือหนังที่ดัดแปลงแก้ไข Uncle Vanya ของเชคอฟในบริบทของประเทศญี่ปุ่นร่วมยุคมากยิ่งกว่า หนังเปลี่ยนจากชายชนชั้นกลางผู้รวยและก็ทุกข์เศร้าจากการเสียเมียรวมทั้งคำตอบไปพร้อมเพียงกันชั่วกัลปวสาน ให้เปลี่ยนเป็นชายชนชั้นกลางชาวรัสเซียที่ทุกข์เศร้าหมองมาชั่วชีวิต จมอยู่ในความหลงตัวเอง รวมทั้งความเจ็บปวดรวดร้าวสาหัสที่มีความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเที่ยงธรรมจากชีวิต ในหนังมีวานยาผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย
อีกทั้งวานยาจากปลายปากกาของเชคอฟ ทาคัตสึกิที่เดิมมาทดสอบบทแอสตคอยฟ แต่ว่าถูกค้างฟุกุลงโทษทัณฑ์ ‘ให้ทดลองโศกสลดเท่ากับฉันบ้าง’ ด้วยการให้รับบทวานยาแทน ขณะที่เขาผู้คือวานยาที่จริงจริงผู้ไม่รับบทวานยา หากกลับยังคงท่องบทวานยาอยู่ในทุกขณะจิต วานยาคือชายผู้เศร้าซึม ว่างเปล่า คนน่าสงสารที่แม้กระทั้งจะฆ่าคน จะมีความรัก หรือจะลักขโมยมอร์ฟีนไปฆ่าตัวตายยังทำไม่เสร็จ ชายคนอ่อนแอแล้วก็เอาความอ่อนแอนั้นเฆี่ยนตีตนเอง ทาคัตสึกิบางทีอาจจะนับเป็นวานยาอีกคน แต่เขาไม่สามารถที่จะเข้ากับบทวานยาได้ อย่างต่ำเขาก็ฆ่าคนได้จริง มิได้ยิงพลาดเป้าเสมือนวานยา
ความระทมทุกข์แสนสาหัสของวานยาจาการพลาดรักกับเยเลนาที่เป็นของศ.จ.ในละครและเป็นของความตายในโลกจริง เยเลาทุ่งนาบางครั้งอาจจะเป็นตลอดตัวละครของเชคอฟ เป็นตัวของแจนิสนักแสดงชาวไต้หวัน (การไปกับทาคัตสึกิ ทำให้เห็นได้ชัดว่าทาคัตสึกิเป็นแอสตรอคอยฟไม่ใช่วานยา) หรือบางทีอาจจะคือโอโตะเมียของเขาเอง ถ้าหากในละครคนที่ช่วยปลดปล่อยทุกข์ซึมเซาของวานยา ช่วยให้เขา ‘ยอมรับ’ รวมทั้งรู้เรื่อง เป็นชอนยา หลานสาวของเขาเอง