no time to die (2021)
no time to die (2021) รีวิวเรื่อง No Time to Die พยัคฆินร้ายฝ่าเวลามรณะ ท้ายที่สุด..รวมทั้งท้ายที่สุดก็มาถึงเวลาปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ในฉบับของ “แดเนียล เคร็ก” ที่่นับว่าเขาเป็นสายลับ 007 ที่คนในยุคเครือข่ายสังคมปรับปรุงเคยชินกันมาอย่างดีเยี่ยม ตลอดระยะ 15 ปีที่เขาได้ถือเขาบทนี้ และนี่คือ no time to die2021 (เสือร้ายฝ่าเวลามรณะ) ที่เป็นภาคสุดท้ายสำหรับการรับบทบาทนี้ของเขา ที่ถือได้ว่าเป็นการกลับคืนฟอร์มได้อย่างสมศักดิ์ศรี แล้วก็สามารถล่ำลาตำแหน่งนี้ไปด้วยอย่างน่าจดจำเลยทีเดียว
รีวิวหนัง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ
สำหรับในภาค No Time to Die หนังลำดับที่ 25 ของ เจมส์ บอนด์ เรื่องนี้เล่าราวของ บอนด์ ที่กำลังสนุกสนานไปกับชีวิตอันสงบเงียบในจาไมก้า แต่ระยะเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆเพราะเหตุว่า เฟลิกซ์ ไลเทอร์ เพื่อนเก่าจากซีไอเอ ได้มาขอให้เขาช่วยดำเนินงานให้ เป้าหมายคือช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุนี้มองไม่ดีกว่าที่คิดไว้ บอนด์จำเป็นต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยสุดอันตรายเป็นอาวุธ
ส่วนตัวต่อให้ยังไม่คุ้นเคยรวมทั้งคลุกคลีกับงานกำกับของ “แคปรี่ โจจี๋ ฟูคูนากะ” ที่พึ่งจะมาได้ยินชื่อก็จากหนังบอนด์เรื่องนี้นี่แหละ พอใช้มองเห็นงานชิ้นของเขาแล้ว จะต้องถึงกับอุทานร้อง…โอ้โห้! ออกมาเบาๆเนื่องจากว่างานควบคุมของเขาถ่ายทอดออกมาได้อย่างแยบคาย เก็บเนื้อหาเกือบจะทุกใหม่ ซ้ำยังสร้างมุมมองใหม่ๆให้กับหนังเครือญาติบอนด์ ในแง่การสื่ออารมณ์และถ่ายทอดผ่านงานโปรดักชั่นรวมทั้งการถ่ายรูป บอกเลยว่า…ออกจะมุมกล้องและมุมถ่ายหลายๆจุดผ่านวิสัยทัศน์ผู้กำกับคนนี้
No Time to Die 007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นสายที่จะเล่าเรื่องในตอนที่ เจมส์ บอนด์ ลาพัก (อีกที) แล้วก็กำลังดำเนินชีวิตอย่างสงบที่จาไมก้า แต่พักผ่อนได้ไม่เท่าไหร่ก็จำต้องพบกับเพื่อนเก่าจากหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกาที่มีเรื่องมีราวมาขอให้ช่วย ภารกิจคราวนี้คือการเกื้อกูลนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ก่อนที่จะเขาจะรู้ว่านี่เกิดเรื่องใหญ่มากถึงระดับกระทบความยั่งยืนและมั่นคงของชาติ ภารกิจคราวนี้ก็นำพาเขาไปพบพบกับตัวร้ายคนใหม่ที่อีกทั้งโหด รวมทั้งมีเทคโนโลยีใหม่แสนอันตรายอยู่ในมือ (พร้อมได้เจอกับสาวสวยอีกเยอะแยะ)
การเล่าเรื่องสำหรับประเด็นนี้นี่ให้อารมณ์ไม่ได้มีความแตกต่างจากการดูภาคจบของแบทแมนไตรภาคโนแลนเลยนะครับ (The Dark Knight Rises) เป็นภาคที่เพียรพยายามปิดจบเนื้อเรื่องของทุกภาคที่ ‘แดเนียล เคร็ก’ เล่นมาได้ดี ไล่ไปตั้งแต่เรื่องราวของคนรักของเขาในภาค Casino Royale
เอ่ยถึงหน่วยงานสเปกเตอร์ที่ยังคงมีผลเป็นอย่างมากกับเรื่องราวในภาคนี้ รวมถึงการเอ๋ยถึงคนรักคนใหม่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรุ๊ปสเปกเตอร์ด้วย ซึ่งภาพรวมของเรื่องถ้าหากมองด้านอารมณ์ก็ถือว่าจบสะสางทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างดีงาม no time to die (2021) มีความซึ้งใจถูกใจขอรับ ยิ่งใครกันแน่มองมาตั้งแต่แรกนี่บอกเลยว่าต่ำๆควรมีน้ำตารื้นน่ะครับผม เพียงแค่น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถที่จะทำให้เราตรึงใจได้สุดทาง ปัจจัยก็เพราะว่ามันพอเพียงจะมีจุดบอดอยู่บ้างเล็กน้อย
No Time To Die 007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ เผยตัวอย่างท้ายที่สุดหมดการรอที่จะได้ชมกันแล้ว โดยใน No Time To Die บอนด์ออกจากงานปฏิบัติการแล้วก็กำลังเริ่มจะมีความสบายกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ความเงียบนั้นก็คงอยู่เพียงระยะเวลาสั้นๆเมื่อเฟลิกซ์ เลเทอร์ เพื่อนเก่าจากหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา มาขอให้ช่วยงาน โดยมีเป้าหมายคือช่วยนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเรื่องราวนี้มองทรามกว่าที่คิดไว้ ทำให้บอนด์จะต้องเข้าไปพบเจอกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยสุดอันตรายเป็นอาวุธ
No Time To Die ดูแลโดย เพียงแค่ปรี่ โจจิ ฟูกูนากะ เขียนบทโดย นีล เพอร์วิสรวมทั้งโรเบิร์ต เวด, แค่รี่ โจจิ ฟูกูนากะ และก็ฟีบี้ วอลเลอร์-บริดจ์ การกลับมาอีกรอบของ นักแสดง แดเนียล เคร็ก, รามี มาเล็ค, เลอา เซย์ดูว์, ลาชาน่า ลินช์, เบน วิชอว์, ท้องนาโอมิ แฮร์ริส, เจฟฟรี่ย์ ไรท์, คริสทอฟ วอลทซ์ รวมทั้งเรล์ฟ ไฟนส์ ในบท “เอ็ม” ร่วมด้วย รอรี่ คินเนียร์, อทุ่งนา เดอ อาร์มัส, เดลี่ เบนส์ซาลาห์, เดวิด เดนซิค และก็ใบเสร็จรับเงินลี่ แมคนุสเซน
แคปรี่ โจจักจี้ ฟูคูนากะ ยังลงมาร่วมเขียนบทหนัง no time to die (2021) บอนด์ในภาคนี้เองด้วย ร่วมกับผู้เขียนบทลูกค้าประจำ “นีล เพอร์วิส” กับ “โรเบิร์ต เวด” ก็ต้องเป็นอีกองค์ประกอบที่พวกเราจำเป็นต้องลุกขึ้นยืนตบมือให้จริงๆเพราะเหตุว่านี่ถือได้ว่าบทหนัง 007 ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ทำให้จดจำ มีเส้นเรื่องที่มั่นอาจแข็งแรง แม้ว่าจะยังไม่หนักแน่นเต็มเปี่ยมสักเท่าไหร่ แต่ว่าเค้าเรื่องของภาคนี้จะต้องย้ำเชลยจริงๆว่า…ค่อนข้างกลมกล่อมละมุนละไมตั้งแต่เริ่มไปจนกระทั่งจุดหมายปลายทางอย่างยิ่งจริงๆ
หนึ่งในสิ่งที่เห็นได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงและยกฐานะในหนัง No Time to Die ก็การสร้างมิติให้กับคาแรกเตอร์หลักอย่าง เจมส์ บอนด์ ให้เป็นผู้ชายที่มีชีวิตจิตใจ มีอารมณ์ความรู้สึก และนี่น่าจะเป็นบอนด์ในฉบับที่มีความเป็นคนอยู่สูงมากมายๆมากกว่าภาคไหนที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดเจนว่าหนังต้องการจะชมเชยการรับทบาทนี้เป็นคราวสุดท้ายของ แดเนียล เคร็ก เขาจึงปฏิบัติหน้าที่แบกรับหนังเอาไว้ทั้งยังเรื่อง มีซีนตลอดทางมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
แต่ว่าเมื่อ บอนด์ ตกลงใจทำภารกิจ เขาก็ได้พบกับเค้าเงื่อนองค์ประกอบทีละชิ้น ไปจนกระทั่งอาวุธสังหารที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงเกินกว่าใครจะจินตนาการถึง เพราะมันสามารถทำลายโลกได้ไม่ยากเพียงแต่พริบตาเดียวภารกิจที่ บอนด์จำต้องทำก็คือช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป แต่ว่าแปลงเป็นว่าเป็นภารกิจเต็มไปด้วยกลอุบาย รวมทั้ง ความลับ ความไม่ปกติหลายประเภท มากยิ่งกว่าที่คาดไว้มาก รวมทั้งโน่นทำให้เขาจะต้องเข้าไปพัวพันกับกรุ๊ปวายร้าย ทำให้บอนด์จำเป็นต้องไล่ล่าตัวร้ายลึกลับซึ่งติดอาวุธกับเทคโนโลยีใหม่ที่สุดจะอันตราย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรจำต้องไปติดตามกันได้
เรื่องย่อหนัง ภาคนี้ เล่าเรื่องโดยเริ่มที่ชีวิตของสายลับ 007 เจมส์ บอนด์
(Daniel Craig จากหนังเรื่อง Knives Out, Logan Lucky และก็แน่ๆ Skyfall) ที่ลาวงการหลังเปิดโปงองค์กรลับ Spectre ในภาคก่อน เขาหันไปมีชีวิตธรรมดาแสนสงบอยู่กับคู่รักอย่าง ดร.แมเดลีน สวอน (Léa Seydoux จากหนังเรื่อง The Lobster, Blue Is the Warmest Color และแน่ๆ Spectre) ที่ยังคงเก็บความลับโคตรสำคัญอะไรบางอย่างหากแม้กับตัวเจมส์เอง
ช่วงเวลาที่ M (Ralph Fiennes จากหนังเรื่อง The Dig, The Grand Budapest Hotel และก็ Harry Potter and the Deathly Hallows: Part1) ก็ปลดเขาจากรหัส 007 รวมทั้งส่งต่อมันให้กับสายสาวผิวสีคนใหม่ นาม โนมี (Lashana Lynch จากหนังเรื่อง Captain Marvel)
จุดบอดที่ว่ามานั้นหลักๆไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องราวหลักๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตบอนด์หรอกครับ แม้กระนั้นมันคือพวกเนื้อหาเสริมริมถนนห่างๆที่ทำให้หนังดูไม่สมจริง ดูไม่น่าเชื่อเท่าไร จุดบอดแรกยิงตรงไปที่บรรดาฉากแอ็คชั่นทุกฉากเลยครับ มันขัดใจผมมาก ด้วยเหตุว่าหลายฉากในประเด็นนี้บอนด์จะโดนรุมยิงจากทุกทางเสมอ แต่ว่าเอ็งก็ยังยืนเด่นในพื้นที่เตียนโล่งๆทำท่าเท่ๆและหลังจากนั้นก็ค่อยยิงกลับอย่างเยือกเย็น แถมก็รอดมาได้ จัดแจงคนร้ายได้ทุกคน รวมทั้งเป็นแบบนี้ทุกฉากกระทั่งสงสัยว่าห้อยพระอะไรอยู่ ผมว่าอันนี้มันก็เหลือเกินนิด
อีกส่วนหนึ่งส่วนใดที่ทำให้หนังมิได้น่าประทับใจนักก็คือ ‘ตัวร้ายของเรื่อง’ เลยครับ อาจเพราะว่าผมมุ่งหวังไว้สูงมาก เพราะผู้รับบทตัวร้ายอย่างซาฟินคือดาราหนังดีกรีรางวัลออสการ์อย่าง ‘รามี มาเล็ค’ แต่ว่าหัวข้อนี้สภาพเสมือนเอาฝีมือเขามาฆ่าในแฟรนไชส์ไม่ได้แตกต่างจาก ‘คริสโคนฟ วอลท์’ จากภาคสเปคเตอร์เลย เพียงแค่ยังดีมากกว่าหน่อยตรงที่หนังไม่ได้มานะให้ซาฟินเป็นยอดเยี่ยมตัวร้ายในกลุ่มมวลที่คิดแผนทุกๆสิ่งทุกๆอย่างตั้งแต่ภาค Casino Royale กระทั่งเวอร์เสมือนภาคสเปคเตอร์ ซาฟินเป็นเพียงแค่ตัวร้ายในภาคนี้จริงๆเขาราวกับเด็กเก็บกดมีความแค้น ครอบครัวถูกฆ่าทิ้งหมดโดยบิดาของนางเอก โดยกลุ่มสเปคเตอร์ จนทำให้เขาจะต้องเอาคืนนางเอกในเบื้องต้น แต่แย่หน่อยตรงที่พอหนังเล่าไปเรื่อย